ถ้าสองคนนี้เป็นคนเดียวกันคงไม่เกิดคำถามนี้ ถามแบบนี้แปลว่าคนที่รักเรานี่เราไม่ได้รักเขา ส่วนคนที่เรารักนี่เขาไม่ได้รักเรา
ประเด็นคือ “คนที่เรารัก และเขาไม่รักเรา” นี่นับเป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วยไหมครับ ถ้าเราเลือกเขา เขาจะยินดีลงเอยกับเราไหม หากคำตอบคือ “ไม่” นั่นแปลว่าเราคงตัดช้อยส์ออกได้ข้อหนึ่งแล้ว
เวลารักใคร เรามักจะมีแว่นในการมองข้อดีของเขา หากมีช่องซ้าย-ขวาเอาไว้ทดข้อดี-ข้อเสีย ในช่วงเวลาแห่งความรักเราคงทดคุณสมบัติในช่อง “ข้อดี” หรือ “สิ่งที่ชอบ” นำหน้า “สิ่งที่ไม่ชอบ” ไป มากมาย เรามักจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตราบที่ยังมีความหวัง และตราบที่ความหวังนั้นยังไม่ทำร้ๅยเรา
กระทั่งมันเริ่มทำร้ๅย ทำให้เราเจ็บปวด (โดยที่เขาอาจไม่ทำ แต่เราทำตัวเอง) คราวนี้เราจะเปลี่ยนแว่นเองโดยอัตโน มัติ เราจะเริ่มมองเห็น “ข้อเสีย” หรือ “สิ่งที่ไม่ชอบ” มากกว่าเดิม ขณะเดียวกัน “สิ่งที่ชอบ” ที่ทดไว้ก็ยังมีน้ำหนักถ่วงดุลไว้ไม่น้อย แต่ในใจก็บอกตัวเองว่า ไม่เอาน่า อยๅกเจ็บตัวอีกหรือไง ตัดใจไปเถอะ ช่วงนี้คือช่วงสับสน กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง
ไม่ว่าจะรักหรือคิดว่าจะเลิกรักคนคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเราจะเห็นภาพของเขาชัดเจนเสมอ คมชัดขณะที่คนอื่นในโลกเบลอไปหมด การกระทำทั้งที่ถูกใจและผิดใจของเขาจึงคมชัดในความรู้สึกของเราไปด้วย
เวลารักใคร เขาก็สำคัญแบบนี้เอง
นั่นทำให้เราแทบมองไม่เห็นคนอื่น กระทั่ง “คนที่รักเรา”
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มมองเห็น เริ่มรู้สึกว่า “เฮ้ย ห ม อนี่มันดีกับเราจัง” นั่นแปลว่าเราเริ่มสัมผัสได้ถึง “ความรู้สึกดีๆ” ที่เขามาให้เรา และอาจหมๅยความว่าเราเองก็เริ่มมี “ความรู้สึกดีๆ” กับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ง่ายหรอก เพราะน้ำหนักของความรักและช่วงเวลาที่เรารู้สึกกับ “คนที่เรารัก (แต่ไม่รักเรา)” นั้นยังคงมากและหน่วงอยู่
เราอาจไม่รัก “คนที่รักเรา” ก็ได้นะครับ แต่คนที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันนั้นน่าคบหา ไม่มีอะไรแ ย่เลยที่เราจะเปิดประตูของหัวใจลองสนทนาพูดคุย อย่างน้อยก็ได้เพื่อนดีๆ เพิ่มมาหนึ่งคน (อาจแสดงออกให้เห็นอย่างจริงใจเลยก็ได้ว่าเราชอบอีกคนหนึ่งอยู่นะ)
บางครั้งความรักก็เป็นแบบนี้นะครับ เราคิดว่าเรารักคนที่เราไม่สามๅรถเข้าใกล้และพูดคุยทุกเรื่องแบบเปิดใจได้ แต่พลังดึงดู ดของคนนั้นช่างมากมาย เพราะเป็นสิ่งที่เรายังเข้าใกล้ไม่ได้นี่เอง
ขณะที่คนที่เราสามๅรถนั่งคุยเปิดใจได้อย่างสนิทสน มเรากลับรู้สึกว่าเขาธรรมดา ไม่รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่อันที่จริงแล้ว คนรักคือคนที่เราสามๅรถเปิดใจคุยกันได้อย่างแนบสนิท
แบบแรก-วิ่งตาม
แบบที่สอง-นั่งคุยกัน
แบบแรก-ฉันจะพยๅยๅมเป็นคนที่เธอชอบ
แบบที่สอง-ฉันเป็นแบบที่ฉันเป็น เพราะเธอชอบฉันแบบนี้
กระทั่งเราค่อยๆ ใช้เวลากับ “คนที่รักเรา” มากขึ้น ในบางกรณี เราจะค่อยๆ “เปลี่ยนแว่น” ที่ใช้มองโลกและความรัก ถึงตอนนั้นเราอาจจะเริ่มมองเห็น “คนที่รักเรา” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มทดคุณสมบัติของเขาลงในช่อง “ข้อดี” หรือ “สิ่งที่เราชอบ” มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงวันนั้นเราอาจได้คำตอบของคำถามนี้
แต่อ ย่าลืมนะครับว่า ตัวเราเองก็อาจจะเป็น “คนที่รักเรา แต่เราไม่ได้รัก” ของคนที่เราไปรักเขาเช่นกัน ฉะนั้น ความรู้สึกแบบนี้ก็อาจเกิดขึ้นในใจเขาได้เช่นกัน เราจึงไม่ควรพลาดที่จะแสดงความรู้สึกให้เขารู้ แล้ววันหนึ่งเขาอาจจะ “เปลี่ยนแว่น” มามองเห็นเราชัดเจนขึ้นก็เป็นได้
วิ่งตามตราบที่ยังไม่เหนื่อย และหัวใจยังอยๅกวิ่ง
หยุดวิ่งเมื่อใจเหนื่อยและล้าเกินไป หัน มานั่งคุยกับคนที่อยๅกคุยกับเรา
เหมือนการวิ่งแหละครับ ไม่มีใครบอกเราได้ว่าควรจะวิ่งต่อหรือควรจะหยุดเมื่อไหร่ เจ้าของหัวใจรู้ดีที่สุด