คนรักกันก็ต้องมีอะไรกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าความรัก

คุณเข้าใจความหมายของคำสองคำนี้มากน้อยเพียงใด

ถ้าคุณเข้าใจคำสองคำนี้ผิด คุณก็จะได้สิ่งที่ผิดไป เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าทุกคนนั้นต่างมีความต้องการความรัก แต่คุณนั้นเข้าใจคำว่ารักมากน้อยเพียงใด

บางครั้งคุณต้องการสิ่งหนึ่งกลับไปได้อีกสิ่งหนึ่งก็ได้นี้ก็ไม่ตรงกับความต้องการของตัวเอง เมื่อไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองแล้วก็เกิดความเสียใจ

เศร้าโ ศก ร้องไห้ คร่ำ ครวญ แล้วของสองสิ่งนี้จะต้องมีความเสมอกันไม่มีสิ่งใดที่มากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตคู่นั้นก็จะจบก่อนกาลอันควร

ถ้าความรักมากไป ก็จะเกิดเป็นความงมงาย ไม่มีเหตุผลไม่สนใจว่าเขาจะเป็นอย่างไรดีชั่ ว เรียกว่าหลับหูหลับตารัก เหมือนคนตาบอ ดมองสิ่งใดๆก็ไม่เห็น

ฉะนั้นต้องรักอย่างฉลาด ต้องมีสติปัญญาคอยควบคุมอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองอย่างมากทีเดียว

เราต้องรู้ว่า เรานั้นรักเขาเพราะอะไร เขาดีอย่างไร เรียกว่าต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าเรานั้นรักเขาเพราะอะไร ถ้าเราตอบตัวเองไม่ได้ก็แสดงว่าเรานั้นกำลังงมงายอยู่

ห ลงอยู่ คำว่า “ห ลง” นั้นคือ ความที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง นี้ก็จะเห็นได้มากในสังคมทุกวันนี้ ลองถามเขาดูก็ได้ว่าคนนั้นเพราะอะไรบางทีเขาก็ตอบไม่ได้ก็มี

แล้วยิ่งในสมัยนี้เด็пหรือวัยรุ่นนั้นแยกเยอะกันไม่ออกว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ที่เรากับเขานั้นคบกันอยู่นี้ที่กระทำกันอยู่อย่างนี้ทั้งที่ลับ ทั้งที่แจ้งนั้นความจริงเป็นความรัก หรือ ความใคร่กันแน่แยกไม่ออก

ความรักที่แท้จริงที่ปราศจากความใคร่นั้นเป็นความรักที่บริ สุทธิ์และก็สวยงาม ทำให้จิ ตใจชุ่มชื้น ทำให้จิ ตใจมีกำลัง ทำให้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในงานที่จะมอบให้แก่คนที่เรารัก

ก็ลองคิดถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก เมื่อพ่อแม่นั้นได้ให้ความรักมาเท่าใดความชุ่มชื้นของหัวใจมันก็ยิ่งมีมากขึ้นๆ

แต่ไม่ใช่จะมีแต่ความรักระหว่างพ่อแม่ลูกเท่านั้นที่จะมีความรักที่บริ สุทธิ์ได้ ความรักของหนุ่มสาวก็มีกันได้แต่ที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้นั้นไม่ได้เป็นความรักที่บริ สุทธิ์อย่างแท้จริง

หรือลืมไปว่าควรจะมอบความรักที่บริ สุทธิ์ให้แก่กันและกัน แล้วก็จะหาได้ยากมากในสังคมทุกวันนี้ เพราะค่านิยมที่ผิดๆ การเรียนรู้มาอย่างผิดๆ

การเรียนรู้นั้นก็มาจากสิ่งที่ได้เห็น มาไม่ดี ไม่ถูกทาง ผลที่ออกมาก็เห็นถึงความเสื่อ มโท รมต่อตัวเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม

จะเป็นความรักที่บริ สุทธิ์ได้ มันต้องเริ่มกันตั้งแต่เริ่มที่จะจีบหรือคิดที่จะคบกับคนๆนั้นก่อนเลยว่า เรานั้นจะมอบแต่ความรักที่บริ สุทธิ์ให้แก่คนๆนั้น

จะมอบสิ่งดีๆที่เรานั้นพอจะหาให้ได้ตามแต่กำลังของตน เรานั้นจะไม่มีเรื่องกายหยา บเข้ามาเกี่ยวข้องก่อนที่จะถึงเวลาอันสมควรตามประเพณี

ถ้าพ่อแม่เขานั้นไม่อนุญาตแล้ว เรานั้นจะไม่มีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด เราจะไม่ยอ มให้คนที่เรารักนั้นเสื่อ มเสียทั้งในด้านของชื่อเสียง

ทั้งในเรื่องของความด่ างพร้อยของพ ร ห มจรรย์ เรานั้นจะปกป้องคุ้มครองดูแลคนที่เรารักนั้นให้ดีที่สุด เราจะไม่สร้างความเดือดร้อนใจ

จะไม่ให้เขานั้นเสียน้ำตาเพราะเรา เรานั้นจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี้เป็นส่วนหนึ่งของความรักที่บริ สุทธิ์ ที่ทุกคนนั้นปรารถนากันแต่มีน้อยคนนักที่จะได้มัน

อยากจะบอกว่า คนที่มีสิทธิในการครอบครองความรักที่บริ สุทธิ์นี้ก็ต้องเป็นคนที่มีความบริ สุทธิ์ต่อความรักเหมือนกัน

ถ้าเรานั้นปรารถนาความรักที่บริ สุทธิ์แต่เรานั้นไม่บริ สุทธิ์มีอะไรแ อบแฝงอยู่ในนั้นก็ไม่มีสิทธิไม่คู่ควรกับความรักที่บริ สุทธิ์นี้

ส่วนความใคร่บ้าง หรือที่คนเข้าใจกันว่าเรื่องเ พศนั้นเอง สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำลายความรักที่บริ สุทธิ์ให้หม่นห ม องไป คนที่มุ่งอยู่แต่ความใคร่นั้นจะไม่มีเวลามาสนใจไม่ให้ความสำคัญกับความรักเลย

จะทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความใคร่ จะทำอะไรก็หวังเพื่อความใคร่ ไม่ว่าจะผิดถูกก็ต้องเอาให้ได้ เป็นต้น

คนประเภทนี้ดูไม่ยากนัก ก็ดูการกระทำทางกายกับ วาจาควบคู่กันไป มันก็บ่งบอกถึงความคิด

อย่างที่บอกไว้อย่าได้งมงายหลับหูหลับตาคบกัน ต้องมีสติปัญญาให้รู้ตามความเป็นจริงจะได้รู้ทัน ความไม่จริง คำพูดอย่างเดียวไม่พอ

ต้องดูการกระทำด้วย พวกนี้ในเมื่อเขาคิดแต่เรื่องความใคร่การแสดงออกทางวาจาก็มักจะเป็นไปในทางของความใคร่ พวกนี้มักจะใช้คำพูดหากิน เช่น

คนเรารักกันก็ต้องมีอะไรกันไม่อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าความรัก

เรื่องเซ็пนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติใครๆเขาก็มีกันคนที่ไม่มีสิแปลก

มีการพูดเล้าโลมต่างๆเพื่อที่จะได้มาซึ่งความใคร่ที่ตัวเองต้องการ การแสดงออกมาทางกายก็จะเป็นไปในความใคร่ พวกนี้เป็นประเภทฉวยโอกาส นิดหน่อยก็เอา สังเกตแล้วให้มีสติ

มีปัญญาคิดเห็นตามความเป็นจริงให้มากๆก็จะได้ผลดี ที่บอกกล่าวนี้ก็เอาไว้สำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรักที่บริ สุทธิ์เท่านั้น

ผู้ที่ไม่ต้องการความรักที่บริ สุทธิ์ก็จงเป็นไปตามการกระทำของตัวเองเถิดจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแล้วอย่าได้พบได้เจอกันเลย นี้ก็จะเห็นได้ชัดว่าความใคร่นั้นเป็นตัวทำลายความรักที่บริ สุทธิ์

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นความรักกับความใคร่นั้นก็ต้องเสมอกัน นี้ก็จะแสดงให้เห็นความจริงบางอย่างของธรรมชาติ

จริงอยู่ที่ทุกคนนั้นเข้าใจว่าเรื่องเซ็пนั้นเป็นธรรมชาติของสั ต ว์ทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ถูกต้องแล้วเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่คนนั้นกำลังไม่ปฏิบัติตามธรรมชาติ

ไม่ได้มีเซ็пกันตามธรรมชาติ แต่ใช้เกินที่ธรรมชาตินั้นให้กระทำกัน..เซ็пที่เป็นธรรมชาติ ที่แท้จริงนั้น มีไว้เพื่อสื บ พั น ธุ์เท่านั้น

เราจะต้องรวมสองสิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกันให้ถูกต้องให้เสมอกัน โดยที่สร้างความรักที่บริ สุทธิ์ขึ้น มาก่อน โดยปราศจากเรื่องของความใคร่ เมื่อความรักที่บริ สุทธิ์เกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว

ได้กาลอันสมควรแล้วจึงจะใช้เรื่องของเซ็пแล้วก็ใช้ไปตามที่ธรรมชาตินั้นกำหนด ให้เป็นไปเพียงแค่หน้าที่ของการสื บ พั น ธุ์ เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วความรักที่บริ สุทธิ์ก็เข้ากับเรื่องใคร่ได้ลงตัวด้วยปัญญา แล้วก็เป็นผลให้ชีวิตคู่นั้นเป็นไปด้วยดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *