โดยทั่วไปของคนที่มีแฟน สาเหตุที่ทำให้คู่รักตัดสินใจเลิกรากันนั้น มักจะมาจากปัญหาที่ค่อย ๆ สะสมมาจากเรื่องเล็กเรื่องน้อย
เกิดขึ้นทีละนิดทีละหน่อย พอนานวันเข้าก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เกินจะต้องมาอดทน เกินที่จะให้โอกาส และเกินที่จะให้อภัยกันแล้ว มีแค่ส่วนน้อยที่จู่ ๆ ปุบปับก็เลิกกันแบบกะทันหัน
สิ่งแรกที่รู้สึกได้ก็คือ ความรู้สึกที่ตัวเรามีต่อคนรักมันไม่เหมือนเดิม เรารู้สึกว่าความรักที่มีให้แฟน มันไม่มากเหมือนเมื่อก่อน
รู้สึกว่าเขาหรือเธอทำอะไรก็ขัดหูขัดตา ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เราเคยชื่นชอบและประทับใจในตัวพวกเขา การรับรู้และปลดปล่อยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมเหล่านี้ออกมา
แน่นอนว่ามัน มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ทำให้คุณกับแฟนห่างเหินกันไปเรื่อย ๆ ทะ เลาะกันบ่อยขึ้น
จนในที่สุดมันก็เริ่มมีแนวโน้มว่าคุณสองคนใกล้จะถึงจุดที่ต้องยุติความสัมพันธ์กันเสียแล้ว
หากคุณรู้ตัวว่าตัวคุณเองนั่นแหละที่รู้สึกต่อแฟนไม่เหมือนเดิม เป็นไปได้ว่าคุณกำลังเข้าสู่ช่วง “หมดรัก” แฟนของคุณ
มาดูกันหน่อยว่ามีสัญญาณบ่งชี้อย่างไรบ้างว่าคุณกำลังเข้าสู่ช่วงหมดรัก หากรู้แล้วจะได้เลิกหาข้ออ้าง
แต่ควรหาวิธีบอกกับแฟนของคุณดี ๆ ดีกว่าทำพฤติกรรมนอпใจทั้งที่ยังคบกันอยู่ ไม่รักกันแล้วก็แค่บอกตรง ๆ ความรู้สึกของทั้งคู่จะได้เสียหายน้อยที่สุด
1. ช่องว่างระหว่างกันขยายใหญ่ขึ้น
ข้อแรกให้คุณลองสังเกตดูว่าระยะหลัง ๆ มานี้ คุณกับคนรักใกล้ชิดกันแค่ไหน? ความสนิทสน มที่เคยมีให้กันยังเท่าเดิมอยู่หรือเปล่า?
คำตอบที่ได้คือคุณทั้งสองคนไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วทั้งทางกายและในความรู้สึก ซึ่งช่องว่างระหว่างคุณกับคนรักที่ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น
โดยที่คุณเองก็อาจจะไม่ทันสังเกตนี้เป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ สามารถทำนายถึงอนาคตของคุณสองคนได้
หากคุณเองก็ยังรับรู้ได้ว่าคุณรักแฟนตัวเองน้อยลง มีความห่างเหินเข้ามาแทรกแทนความใกล้ชิด แนวโน้มที่คุณทั้งคู่จะเลิกรา
จบความสัมพันธ์กันไปก็มีอยู่สูง ในเมื่อความใกล้ชิดที่เคยมีมันไม่เหมือนเดิม ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพวกคุณกำลังเตรียมที่จะยุติความสัมพันธ์
2. ปฏิกิริยาและความรู้สึกเชิงลบที่มากขึ้น
แม้ว่าคุณจะพยายามระมัดระวังเรื่องการแสดงออกในเชิงลบต่อหน้าคนรัก เพื่อให้ดูเหมือนว่าคุณยังรักเขาหรือเธอเหมือนเดิม
แต่เมื่อไรก็ตามที่เผลอ ปฏิกิริยาเชิงลบก็จะเกิดขึ้น มาเองตามธรรมชาติอยู่ดี เพราะความรู้สึกที่คุณมีให้กับคนรักมันเปลี่ยนไป
การกระทำก็จะตอบสนองตามความรู้สึก ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเขาก็น่าจะเริ่มสัมผัสได้บ้างว่าแฟนฉันเปลี่ยนไป
เนื่องมาจากพฤติกรรมของคุณเอง คุณรู้สึกรำคาญ เย็นชา เฉยเมย ไม่เอาใจใส่อีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อน แรก ๆ มันอาจมองเห็นได้ยาก
แต่ในสถานการณ์บางอย่าง มันกลับชัดเจนเลยว่าคุณมีปฏิริยาต่อพวกเขาในเชิงลบมากกว่าที่เคย และหลายสิ่งหลายอย่างแสดงออกมาโดยไม่เกรงใจอีกฝ่ายเลยด้วย
3. ไม่ยินดียินร้ า ยกับข่าวดีของคนรัก
อีกปฏิกิริยาที่ชัดเจนว่าคุณกำลังจะหมดรักแฟนของคุณแล้ว คือ ท่าทีที่คุณแสดงออกเมื่อได้ฟังข่าวดีของคนรัก จากเดิม เวลาที่มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น
คุณมักร่วมแสดงความยินดีกับคนรักเสมอ อาจมีการเตรียมการเฉลิมฉลอง ให้ของขวัญ แต่ระยะหลังมา ข่าวดีต่าง ๆ ของคนรักไม่ได้ทำให้คุณมีอารมณ์ร่วม
คุณไม่มีทีท่าสนับสนุนความสำเร็จของคนรัก ความกระตือรือร้นน้อยลง รู้สึกเฉยเมย อาการลักษณะนี้เป็นเรื่องที่อัน ตรายต่อความสัมพันธ์
โดยมีแนวโน้มว่าคุณทั้งคู่อาจจะได้เลิกรากันจริง ๆ ภายใน 2-3 เดือนต่อจากนี้ เพราะการที่คุณไม่ตอบสนองต่อข่าวดีของคนรัก
ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าน้อยใจสำหรับอีกฝ่าย พวกเขาคงรู้สึกแย่และไม่กล้าที่จะแบ่งปันข่าวดีกับคุณอีกต่อไป
4. ภาษากายเชิงบวกไม่มีให้เห็น
ภาษากายหรืออวัจนภาษา เป็นสิ่งที่แทนคำพูดได้ลึกซึ้งมากกว่าที่เราคิด ภาษากายสามารถเปิดเผยให้เห็นถึงความในใจได้มากกว่าคำพูดด้วยซ้ำ
นักจิ ตวิทยาเชื่อว่าภาษากายมีความซื่อตรงมากกว่าคำพูดที่ออกมาจากปาก เพราะมันเป็นปฏิกิริยาที่คนเรามักจะแสดงออกมาตามจิ ตใต้สำนึกและกลไกทางจิ ตใจ
ไม่ได้ผ่านกระบวนการปรุงแต่งเท่าคำพูด ภาษากายที่เปลี่ยนไปจึงกลายเป็นสัญญาณที่ใคร ๆ ก็สังเกตเห็น และพอจะบอกได้ว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนกำลังแย่ลง
ดังนั้น หากในช่วงระยะหลัง ๆ คุณไม่มีภาษากายเชิงบวกให้กับคนรัก เช่น รอยยิ้ม การแสดงความรัก มันก็ชัดเจนว่าคุณเริ่มหมดรักแฟนของคุณแล้วล่ะ
5. เริ่มปิดบังเรื่องตัวเอง
เป็นธรรมดาของคนที่คบหากันที่มักจะแชร์เรื่องราว ประสบการณ์ต่าง ๆ ของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ไม่ว่าจะเรื่องเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม
พูดง่าย ๆ ก็คือเล่าเรื่องของตัวเองให้แฟนฟัง สิ่งนี้เป็นกระบวนการที่สนับสนุนความสัมพันธ์ที่ดี เพราะเราเชื่อใจและอุ่นใจที่จะเปิดเผยตัวตนให้แฟนรู้
คนหนึ่งพูด อีกคนก็ตั้งใจฟัง มีความห่วงใยให้กันเสมอ ซึ่งการตอบสนองของผู้ฟังมีส่วนทำให้ผู้พูดยอมเปิดใจเล่าเรื่องของตัวเอง
หากคุณเริ่มไม่แบ่งปันเรื่องราวของตนเองให้แฟนรู้ ด้วยความคิดที่ว่า “ก็ไม่จำเป็นต้องรู้นี่” ก็จะทำให้คุณทั้งสองสูญเสียโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ไป
รวมถึงยังเป็นการท่าทีที่เหมือนว่าคุณมีความลับต่อคนรักด้วย
6. คนดีของฉันในวันนั้น วันนี้ไม่ใช่แล้ว
ในสายตาของคุณ คุณเคยมองแฟนว่าเป็นคนยอดเยี่ยมแค่ไหน? เมื่อวันเวลาผ่านไป วันนี้คุณยังเห็นเป็นแบบนั้นอยู่หรือไม่? ปกติแล้วในช่วงโปรโมชันของความรัก
คนเรามักจะมองว่าคนรักของตัวเองดีกว่าที่เป็นจริง เป็นตัวตนที่เราชอบและประทับใจ โดยเฉพาะลักษณะในเชิงนามธรรมที่อาจจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
คือต้องอาศัยอีกฝ่ายพูดอวยว่าดีอย่างไร หรืออาจเป็นเอกลักษณ์ของคนคนนั้น ที่เราเชื่อว่ามีเพียงแค่คนรักของเราเท่านั้นที่มี
เขาหรือเธอจึงไม่เหมือนใคร ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์นั้น ๆ ยังคงอยู่ แต่ถ้าในวันนี้ภาพลวงตาพวกนั้นเริ่มหายไป
สิ่งที่คุณเคยชอบในตัวคนรักคุณกลับไม่ชอบมันอีกแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าคุณไม่ได้รักเขาหรือเธออีกต่อไป