เมื่อพูดถึงการเท ย่อมมีฝ่ายหนึ่งเป็น “คนเท” และอีกฝ่ายเป็น “คนโดนเท” คุยกัน มาดี ๆ แต่ทำไมถึงเลือกที่จะเทแทนที่จะคบกัน
เรามีเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะเทคนคุยหรือคนที่ดู ๆ กันอยู่มาให้ลองพิจารณาว่าตรงหรือไม่
ส่วนคนที่โดนเทแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ลองอ่านดูผื่อว่าจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิดหรือรู้สึกให้มากขึ้น
รู้สึกว่าตัวเองเลือกได้และมีได้ดีกว่านี้
ตอนแรกที่ยังไม่ได้รู้จักกันดีเท่าไรนัก เราก็อาจจะรู้สึกว่าคนคนนี้แหละคือคนที่ใช่ เมื่อเวลาผ่านไป หลังจากได้ทำความรู้จักกัน มากขึ้น
ศึกษากัน มาได้สักระยะ จนได้เห็นตัวตน เห็นธาตุแท้ เห็นอดีต เห็นไลฟ์สไตล์ เห็นทัศนคติ ความหน่วง ๆ หนืด ๆ ว่ามันเริ่มไม่ใช่แล้วเริ่มเกิดขึ้นในใจ
แบบที่ว่าเราเองน่าจะหาหรือมีแฟนที่ดีได้มากกว่านี้ ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก
เรามีสิทธิ์เลือกไง ตอนนี้ยังแค่คุย ๆ กันอยู่ มันก็ยังตกลงแยกย้ายได้ง่าย ให้มันจบซะตั้งแต่เนิ่น ๆ ตอนที่เริ่มรู้ว่าไม่ใช่แบบนี้แหละดีแล้ว
ต่างคนต่างเป็นตัวเองมากเกินไปและไม่ยอมปรับเข้าหากัน
การเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิด จริง ๆ แล้วมันทำให้คนทั้งคู่มีความสุขในความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ เมื่อต่างฝ่ายต่างยอมรับตัวตนกันได้
และก็ไม่ต้องมีใครทนทุกข์ทรมานเพราะต้องสูญเสียตัวตนไป แต่การที่ต่างฝ่ายต่างมีความเป็นตัวเองสูงมาก อิโก้ก็สูง
โดยที่ไม่มีใครยอมจะปรับเข้าหาอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของความรัก แบบนี้ไม่มีทางไปกันได้รอดหรอก
คนสองคนอาจจะเคยคุยกันแล้วว่าอะไรที่เข้ากันไม่ได้บ้าง มันก็ควรจะลดตัวตนตัวเองลงมาเจอกันครึ่งทาง
เราสะดวกใจ เขาหรือเธอสบายใจ แต่ถ้าปรับไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่กับตัวเองดีที่สุดแล้ว
คาดหวังสูงและไม่ได้ตามนั้น
ตอนที่ยังไม่มีใครเข้ามาอยู่ในใจ เราก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเองตามปกติ ทำทุกอย่างได้เอง กินข้าวคนเดียวได้ ไปไหน มาไหนได้เองไม่หวังพึ่งใคร
แต่พอมีใครสักคนเข้ามาอีกหนึ่งตัวแปร ความคาดหวังก็เริ่มมา อาจจะคาดหวังให้เขาหรือเธอมารับไปส่ง อยากให้เขาหรือเธอทำนั่นทำนี่ให้
พอไม่ได้อย่างที่คาดหวัง ความผิดหวังก็จะทำให้เรารู้สึกไม่ดี หงุดหงิดที่ความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ดั่งใจ น้อยอกน้อยใจ
มีคนที่ดู ๆ กันอยู่ก็จริงแต่ไม่เห็นต่างอะไรกับการโสดสนิท เอ้า! สถานะยังไม่ไปถึงไหนเลย อย่าเพิ่งคาดหวังขนาดนั้นสิ อีกอย่าง เขาหรือเธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นก็ได้นะ
รู้สึกไม่เชื่อใจ ไม่มั่นใจ
อย่างที่บอกว่าสถานะในเวลานี้ยังไม่ไปถึงไหน อยู่ในขั้นคุย ๆ ดู ๆ กันอยู่ การที่สถานะยังไม่ชัดเจนแบบนี้
ห ม ายความว่าต่างฝ่ายก็ยังไม่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตน ซึ่งการที่ยังไม่ได้ใช้สถานะ “แฟน” กับใครจริง ๆ จัง ๆ ดู ๆ
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราหรือเขาหรือเธอจะคุยกับใครหลายคนในเวลาเดียวกัน (ของแบบนี้อยู่ที่มารยาทและการให้เกียรติกัน มากกว่า) แบบดู ๆ ไปก่อน
รู้สึกใช่กับใครก็ค่อยเลือกแล้วปฏิเสธคนอื่นเอาทีหลัง ตรงนี้นี่เองที่อาจทำให้เรารู้สึกไม่เชื่อใจหรือไม่มั่นใจอีกฝ่าย (อาจไม่มั่นใจตัวเองด้วย) กลัวว่าจะต้องผิดหวังถ้าเขาหรือเธอไม่เลือก ฉะนั้น เทก่อนเลยแล้วกัน
มาจากสังคมที่ต่างกัน มากจนเกินไป
เรื่องพื้นเพเดิมของแต่ละฝ่ายใครว่าไม่สำคัญ จริง ๆ แล้วออกจะเป็นเรื่องใหญ่เลยด้วยซ้ำ แรกพบที่ได้เริ่มรู้จักกัน ใคร ๆ ก็มองว่ามันเป็นแค่เรื่องของคนสองคนเท่านั้น
แท้จริงแล้วมันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้คนสองคนเข้ากันไม่ได้ แม้ว่าจะรักกันแค่ไหนก็ตาม
อาจเป็นเรื่องของพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกัน มาก (ส่งผลถึงภูมิหลังการเติบโตของแต่ละคนอีกต่างหาก) ฐานะ ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ที่มันต่างกัน มาก ๆ ราวฟ้ากับเหว
มันต้องใช้เวลา ความเข้าใจ และความอดทนอย่างมากในการปรับตัวเข้าหากัน ดังนั้น จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าจะมีคนเหนื่อยจนไม่อยากไปต่อ
ยิ่งสนิทยิ่งอึดอัดหรือลำบากใจ
ไหงเป็นงั้นล่ะ แทนที่ยิ่งสนิทกัน ก็ยิ่งรู้สึกดีที่ได้รู้จัก ได้เข้าถึงตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น กลับกลายเป็นว่ายิ่งรู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจไปเสียนี่
สาเหตุมันอาจเป็นเพราะเราเกิดรับไม่ได้กับนิสัย พฤติกรรม หรือตัวตนบางอย่างของเขาหรือเธอที่มันผิดคาดมากเกินไปหน่อย
ขณะเดียวกัน สถานะที่เป็นอยู่ก็อยู่ในช่วงทำคะแนน เขาหรือเธออาจจะพยายามทำตัวติดเรามากจนเรารู้สึกไม่มีที่ว่างให้หายใจ
ทำอะไรก็ยาก เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบ ไม่พอใจ จะพยายามแยกตัวออกมาก็อาจจะดูน่าเ ก ลี ยดไป เราเลยจำทนอยู่กับสถานการณ์หรือความรู้สึกแบบนี้ทั้งที่ไม่สะดวกใจเลยจริง ๆ
สูญเสียตัวตนของตัวเอง
ความรู้สึกไม่ดีขั้นสุดในความสัมพันธ์ คือการที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (หรือจริง ๆ ทั้งสองฝ่าย) พยายามเป็นนสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองมากจนเกินไป
หลาย ๆ คู่คุยกันแล้วตกลงว่าจะ “ปรับ” เข้าหากัน แต่มีหลายคนเข้าใจผิด กลายเป็น “เปลี่ยน” ไป
โดยเฉพาะในช่วงคลั่งรักหรือพยายามทำคะแนน เขาหรือเธอมีผลต่อความรู้สึก ทำให้เราอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น
อยากเป็นคนใหม่ อยากเป็นคนแบบที่เขาหรือเธอชอบ แล้วทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นตัวเองทุกอย่าง
ในที่สุด ก็จะรู้ว่ามันเหนื่อยและฝืนตัวเองมากเกินไป หลายคนเพิ่งเริ่มมาคิดได้ตอนหลังว่าไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำมากขนาดนั้น