ทำไมเราต้องพยายามว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรเพื่อที่จะไปหาคนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะข้าม
เหลือแต่เรา คนที่ “พยายายามอยู่ฝ่ายเดียว” ในทุกๆ เรื่อง เรายังเหลือความรัก เหลือความรู้สึกดีๆ ให้เสมอ แต่ไม่รู้จะ “ทน”
อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน ใครเคยอยู่ในสถานะแบบนี้บ้าง และอดทนได้นานเท่าไหร่
ความพยายามมันไม่เท่ากัน และการเห็นคุณค่ามันต่างกัน
คนที่คุยกับเราเฉพาะตอนที่เขาว่าง กับคนที่พยายามหาเวลาว่างเพื่อมาคุยกับเราแตกต่างกันนะ
คนประเภทแรก จะโผล่มาเป็นพักๆ เหมือนเรานอนอยู่กลางทะเลทรายกำลังจะขาดน้ำ แล้วก็มีคนยื่นน้ำให้เราแก้วหนึ่งดื่ม ให้เรารอดจากความทุรนทุราย
แล้วก็รอคอยที่จะได้กินน้ำแก้วนั้นอีก เพราะติดกับความสดชื่นที่ได้ดื่มดับความกระหาย แต่มันแค่ต่อเวลา ต่อชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่เคยเติมเต็ม
คนประเภทที่สองเป็นคนที่โผล่เข้ามา แล้วเราสัมผัสได้ง่ายๆ ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องไปปรึกษาเพื่อน ไม่ต้องแชทมาถามหลังไมค์
ว่าเขาทำอย่างนี้ห ม ายความว่ายังไง แต่เรารู้ได้เลยว่าเราอยู่กับคนนี้แล้วเราสดชื่น เขาแสดงความจริงใจกับเราไม่ต้องตีความ
เขาทำให้เราเห็นว่าเขาเห็นคุณค่าในตัวเรา เราไม่ต้องคอยทุรนทุรายว่าเขาจะหยิบยื่นน้ำแก้วใหม่ให้เราหรือเปล่า เรารู้สึกได้ว่ามันเติมเต็ม คอยแต่วิ่งตามกับได้พบเจอ ความรู้สึกที่ได้กลับมามันแตกต่างกัน
ถ้าเราต้องคอยแต่วิ่งตามความรักอยู่เรื่อยไป จนเหน็ดเหนื่อยกับมัน มากมาย นั่นอาจไม่ใช่ความรักแล้ว มันแค่การออกกำลังกาย มันแค่การเบิร์นไขมัน
ถ้าเราต้องเป็นฝ่ายร้องไห้ อยู่กับความรู้สึกทุรนทุราย มันเป็นความรักแบบที่เราอยากได้จริงๆ เหรอ มันสร้างความสุขใจให้เราจริงๆ เหรอ
คนที่เขาไม่เห็นค่าเรา ต่อให้เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรไป แล้ววิ่งจากชายฝั่งไปอีก 50 กิโลเมตร ปีนขึ้นเทือกเขาไป จนไปถึงหน้าบ้านเขา เขาก็ปิดประตูใส่หน้าเราอยู่ดี
ทุกวันนี้เรากำลังทำอย่างนี้อยู่หรือเปล่า เก็บพลังงานชีวิตเราไว้สำหรับคนอื่นเถอะ เก็บแรงเราเอาไว้บ้าง บางทีเราต้องใช้มันเพื่อว่ายน้ำกลับบ้านนะ
คนที่ใช่จะไม่ทำให้เราทุรนทุราย และรู้สึกเปล่าประโยชน์