1. ปล่อยวาง “หน้าที่เชิดตลอด”
หน้าที่เชิดตลอด ย่อมมองไม่เห็นเส้นทางที่จะเดินซึ่งอยู่ใต้เท้าคุณหน้าที่เชิดตลอด คนดีๆ ที่ไหนที่อย ากเข้าใกล้คุณหน้าที่เชิดตลอด ทำให้คุณกลายเป็นคนโดดเดี่ยว แต่ไม่ใช่โดดเด่น
ไม่อย ากถูกสังคมคนดีๆ ทอดทิ้งไม่อย ากมีช่องว่างกับคนดีมีคุณภาพหัดถอดหน้ากากออ กเสียแล้วคุณจะได้สัมผัสความจริงใจจากคนอื่นบ้าง
2. ปล่อยวาง “ความกดดัน”
เหนื่อยหรือเปล่า ถามใจตัวเองดูทุกข์หรือเปล่า ถามใจตัวเองดูกดดันตัวเองไปทำไมทำให้ดีที่สุด สุดความสามารถเราก็พอแล้ว
ได้แค่ไหน ก็เอาแค่ไหน ทุกข์ไปทำไมไม่มีใครได้ไปทุกสิ่งทุกอย่ างหรอ ก เหลือให้คนอื่นบ้างเอาความทุกข์ที่เกิดจากความกดดันทิ้งไปแล้วจิ ตใจจะได้มีที่ว่างสำหรับความสุขได้ครอบครองบ้าง
3. ปล่อยวาง “สิ่งที่ผ่านไปแล้ว”
สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยมันผ่านไปมันไม่กลับมาอีกแล้วแม้กลับมาอีกครั้งก็อาจไม่เหมือนเดิมอย่ าไปหวังอะไรลมๆแล้งๆ
พย าย ามปรับเปลี่ยนสภาพจิ ตใจใหม่รับให้ได้กับสภาพที่แท้จริงของวันนี้ด้วยใจสงบมองโลกมองชีวิตด้วยทัศนคติที่คิดบวกค่ำคืนที่มืดมิด
ยังไงก็ต้องผ่านไป เดี๋ยวก็สว่างแล้วเตรียมตัวเตรียมใจไว้ต้อนรับวันใหม่ดีกว่าชีวิตต้องดีกว่าเมื่อวานแน่นอน ถ้าเรามุ่งมั่น
4. ปล่อยวาง “ปมด้อย”
จงลบคำว่า “ปมด้อย”ออ กไปจากສ า รานุกรมของเราคนทุกคนไม่สามารถกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ก็จริงแต่ทุกคนสามารถกลายเป็นคนที่มีจิ ตใจเข้มแข็งได้เราก็มีสองมือ
สองเท้า หนึ่งสมองเหมือนคนอื่นก็ตัดสินกันที่ลูกอึดลูกสู้บอ กตัวเองเสมอว่า เราสู้ได้ เราไม่มีอะไรแพ้เขายืดอ กเข้าไว้ เชื่อมั่นในตัวเอง ชีวิตเราต้องมีคุณค่าแน่นอน
5. ปล่อยวาง “ความเกียจคร้าน”
ความบากบั่น มุมานะเปลี่ยนชะตาชีวิตคนได้ไม่มีผู้ประสบความสำเร็จคนไหนที่ไม่มุมานะสู้งานใดๆแม้จะเป็นสิ่งเล็กหรือสิ่งใหญ่ก็จงฝึกฝนให้ดีที่สุดจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ
อย ากได้สิ่งใดก็ต้องไปไขว่คว้าอย ากได้อะไรก็ต้องขยันทำคนขี้เกียจชอบหวังอะไรลมๆแล้งๆแล้วชีวิตเขาก็จะได้อยู่แบบลมๆแล้งๆจำไว้เลย ความเกียจคร้านจะสวนทางกับความสำเร็จเสมอ
6. ปล่อยวาง “ความเซ็ง”
เอาความเซ็งทิ้งไปให้ไกลๆเดินไปข้างหน้าด้วยความหวังอย ากประสบความสำเร็จ ต้องเตือนตัวเองเสมอว่า“เราจะทำให้ดีที่สุด”
เอาความมุ่งมั่นละลายความเซ็งให้หมดไปเอาความสุขละลายความเศร้าเอาความบากบั่นละลายความเกียจคร้านเอาความเข้มแข็งละลายความอ่อนแอชีวิตไม่ได้สอนว่าเราต้องชนะทุกวันแต่สอนว่าเราต้องเชื่อมั่นแม้ในวันที่เราพ่ายแพ้
7. ปล่อยวาง “เสียงบ่น”
เอาเวลานั่งบ่น ไปเปลี่ยนเป็นความขยันดีกว่าไหมทุกอย่ างที่เคยพลาดพลั้งหรือพ่ายแพ้ก็เพื่อเป็นบทเรียนของความสำเร็จหรือชัยชนะในครั้งต่อไป
บางคนก็ติดนิสัยบ่นไว้ก่อน แม้ยังไม่มีอะไรให้ต้องบ่นเพราะฉะนั้นอย่ าเอาแต่บ่น มันบั่นทอนจิ ตใจตัวเอง บั่นทอนคนรอบข้างด้วย จิ ตใจที่หดหู่ โลกจะสดใสได้ไง
ทำใจให้นิ่งสงบพร้อมรับสภาพความเป็นจริงแล้วบากบั่นสู้เพื่อความหวังใหม่ยิ้มสู้ดีกว่าหน้าย่นที่มีแต่เสียงบ่นชะตาก ร ร มที่ดีจะมาหาคนคิดบวกหน้ายิ้มเสมอไม่ใช่คนหน้าอมทุกข์ที่เอาแต่บ่น น่ารำคาญนะจะบอ กให้
8. ปล่อยวาง “ความลังเล”
ตรึกตรองทุกสิ่งทุกอย่ างให้รอบคอบ ตัดสินใจให้ดีจะเดินหน้าหรือยุติ ก็ตัดสินให้เด็ดขาดจะไม่คิดเดินต่อ ก็หยุดเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องเสียเวลาอีก
แต่ถ้าคิดจะเดินไปข้างหน้าแล้ว ก็ตัดสินใจลงมือทำทันทีไม่ลังเล ไม่เหลียวหลังมองมุ่งมั่นเต็มที่ คอยสำรวจ คอยปรับปรุง แค่นั้นพอ จะสำเร็จแค่ไหน กาลเวลาจะบอ กคุณเอง
9. ปล่อยวาง “จิ ตใจที่คับแคบ”
คนใจกว้าง สังคมย่อมกว้างใหญ่ไพศาลไปด้วยการรู้จักให้อภัยเป็นสิ่งดีงามรู้จักให้อภัยคนอื่น เป็นการเพิ่มพื้นที่ให้จิ ตใจเราให้เบิกบานคนใจกว้าง
รู้จักให้อภัย รู้จักช่วยเหลือคนอื่นไปไหนใครก็รัก เส้นทางชีวิตมีแต่ความสดใสมีแต่คนยินดีเสนอโอ กาสดีๆให้ มีแต่คนอย ากร่วมงานด้วย
แต่คนใจแคบ ก็คงอยู่ในโลกแคบๆของเขาคงไม่มีใครอย ากหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับคนใจคับแคบแน่นอน
10. ปล่อยวาง “ความขี้ระแวง”
จิ ตใจที่มีแต่ความระแวงสงสัย ทำอะไรก็สำเร็จย ากใช้คนทำงานต้องไม่ระแวงระแวงคนไหนก็ไม่ต้องใช้เขาทำงานอย่ าให้ความระแวงของตนเป็นตัวตัดสินความคิดความเห็นคนอื่นไปเสียหมดถ้าชีวิตเต็มไปด้วยความระแวงก็พึงระแวงตนเองบ้างว่าแล้วชีวิตเราจะหาความสงบสุขได้อย่ างไร