ในยุคที่ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหนก็ต้องใช้เงินซื้อไปหมดทุกอย่าง การใช้ชีวิตประจำวัน มีพิธีรีตองมากขึ้น สังคมอยู่ยากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันสูงในทุกเรื่อง
เมื่อ การเข้าสังคมเป็นสิ่งสำคัญที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เราจึงต้องสร้างภาพลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับคนในสังคมที่เราอยู่เพื่อไม่ให้เกิดความแปลกแยก ไม่ว่าจะเป็นการมีรถยนต์ขับ
มีกระเป๋าหรู หรือ การกินกาแฟแก้วละร้อยทุกวัน เหล่านี้ล้วนเป็นค่านิยมที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น มาเพื่อตอบสนองความรู้สึกต้องการเป็นที่หนึ่งเหนือ กว่าใคร ๆ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานของสั ต ว์สังคม เช่น มนุษย์ นี่เอง
1.ไม่รู้จักประหยัดเก็บออม
เมื่อมีรายรับเข้ามาก็นำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ เช่น กินอาหารนอ กบ้านในร้านหรู ซื้อเสื้อผ้าราคาแพง หรือซื้อของที่เกินความจำเป็น
ในยามที่ยังมีรายได้ไม่มากนักเมื่อเงินเดือนออ กเราต้องรู้จักวางแผนการใช้เงินเสียก่อนด้วยการสำรวจค่าใช้จ่ายรายเดือนของตนเองอย่างละเอียด
เพื่อจะได้ทราบว่ามีค่าใช้จ่ายในส่วนใดที่พอจะปรับลดลงได้บ้าง สิ่งไหนจำเป็นกว่ากัน มากน้อยเพียงใดควรมีการจัดลำดับความสำคัญเสียก่อน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พัก หากคุณลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นได้แล้วคุณจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
2.ไม่รู้จักประมาณตน ทำอะไรเกินตัว
คนที่มีนิสัยเช่นนี้มักเป็นคนที่ต้องการถูกยอมรับจากผู้อื่นสูง จึงต้องแสดงให้เห็นและรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีฐานะอยู่เสมอ มีหน้าตาในสังคมมักมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่มากกว่าคนปกติทั่วไป
ด้วยต้องการโอ้อวดเพื่อให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในสังคมคนประเภทนี้จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพลักษณ์อยู่เสมอ แม้จะต้องหยิบยืมเงิน เป็นหนี้สินก็ตามดังคำที่ว่า “เสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าข้าไม่ยอม”
3. ชอบเล่นการพ นั น ติดอบายมุข
คนสมัยก่อนจะสอนลูกหลานด้วยสุภาษิตว่า “ถูกโจรปล้น 10 ครั้ง ยังไม่เท่าไฟไหม้หนึ่งครั้ง ถูกไฟไหม้สิบครั้งยังไม่เท่าเสียพ นั นครั้งเดียว”
เป็นคำกล่าวที่อธิบายได้ดีถึงคนที่มีนิสัยชอบเสี่ยงดวงพ นั นขันต่อ หาเงิน มาได้เท่าไหร่ก็หมดไปกับการพ นั น บางรายอาจหนักถึงขั้นเสียบ้านเสียรถ หมดตัวบ้านแตกสาแหรกขาดเลยก็มี ยังรวมไปถึงการติดสุ ร าและอบายมุขอื่น ๆ อีกด้วย
4. นิสัยเกียจคร้าน รักสบาย
ความเกียจคร้านเป็นอุปสรรคตัวสำคัญที่ทำให้คนไม่เจริญก้าวหน้า คนที่ขี้เกียจไม่มะนะบากบั่นทำอะไรมักไม่มีความอดทน ในที่สุดสิ่งที่ลงทุนทั้งหมดไปจึงเสียเปล่า
หากเกียจคร้านไม่มีวินัยในตนเองเสียแล้วการจะลงแรงทำอะไรสักอย่างย่อมไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีกลับคืน มา
ดังคำในโฆษณาที่ว่า “ทำงานให้เหงื่อออ กตามรูขุมขน ดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจนจนน้ำล้นออ กทางตา” เป็นสิ่งที่คอยเตือนใจไม่ให้เราเกียจคร้านได้ดีอย่างยิ่ง
5. ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักพอมักมีความต้องการใหม่ ๆ อยู่เสมอ บางคนทะเยอทะยานทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาครอบครองโดยที่ไม่คำนึงถึงวิธีการ
หรือผลลัพธ์ในภายหลัง ยอมสบายวันนี้ลำบากวันหน้าจึงทำให้เป็นหนี้สินที่เกิดจากการใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น
ตัวอย่างการเป็นหนี้ เช่น การใช้บัตรเครดิตเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มนุษย์เงินเดือนในปัจจุบันนิยมใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของตน
เปรียบเสมือนการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนโดยที่ยังไม่ได้ลงแรงทำงานโดยหารู้ไม่ว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
เนื่องจากต้องใช้หนี้ค่าดอ กเบื้อบัตรเครดิตที่สูงลิ่วเมื่อถึงสิ้นเดือน ในขณะที่รายรับยังเท่าเดิมเมื่อเงินที่เหลืออยู่ใช้ไม่พอสำหรับเดือนถัดไปจึงต้องหยิบยืมเงินจากบัตรเครดิตมาใช้อีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นวัฏจักรแห่งหนี้สินที่ไม่มีวันสิ้นสุดและมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
หากต้องการปลดหนี้ หนึ่งทางเลือ กที่คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มจากตัวเองคือ การลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออ กไป ไม่ใช้เงินเกินกำลัง ลดการซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยรวมไปถึงการใช้บัตรเครดิตเฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น
เพื่อคุณจะได้ไม่เป็นหนี้อีกต่อไป แล้วชีวิตของคุณจะมีความสุขมากขึ้นเมื่อรู้จักควบคุมความต้องการให้พอประมาณ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ไม่ยึดติดกับวัตถุนิยมจนเกินไปนัก ผลพลอยได้จากการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอาจทำให้คุณมีเงินออมมากขึ้นอีกด้วยเพื่อนำไปสร้างเป้าห ม ายชีวิตที่ดีกว่าในอนาคต