เดี๋ยวนี้การเลิกราหรือหย่าร้างไม่ได้น่ากลัว โดดเดี่ยว หรือถูกมองว่าแปลกแยกจากสังคมอีกต่อไปแล้ว ยุคนี้สังคมเข้าใจการหย่าร้างได้ดีขึ้นแล้ว แต่คงไม่มีใครอยากให้ชีวิตแต่งงานจบลงด้วยการหย่า
ถ้ามีหนทาง มีวิธีแก้ไข หลายคู่ก็อยากเลือ กรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ให้ได้ เพราะก่อนที่จะสุดทางด้วยการหย่าร้าง บางทีเราอาจมองข้ามสัญญาณเตือนบางอย่างไปเหล่านี้ก็ได้
1. คุยกันไม่รู้เรื่อง
สาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้คู่รักกลายเป็นคู่ร้างก็คือ การไม่สื่อส า ร ไม่พูดคุยกันให้รู้เรื่อง
เหตุผลนี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ คู่รักที่แต่งงานกัน อยู่ด้วยกัน จะไม่คุย ไม่สื่อส า รกันได้ยังไง แต่ก็เป็นไปแล้ว เพราะนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้หลายคู่หย่าร้างกัน มานักต่อนัก
การไม่สื่อส า ร ไม่คุยกันให้รู้เรื่อง รังแต่จะทำให้คนสองคนไม่เข้าใจกัน มากขึ้น และความไม่เข้าใจนี้เองที่จะบั่นทอนชีวิตคู่ของคุณในเวลาไม่นาน
ยิ่งถ้าไม่ได้ปรับความเข้าใจ หรือพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลเลย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะไม่มีวันหายไป จากการไม่คุย กลายเป็นไม่เข้าใจ ไม่รู้เหตุผล ไม่ยอมรับ สุดท้ายก็สะสมเป็นความไม่เชื่อใจ และไม่ไว้วางใจ
จุดสังเกตง่าย ๆ ก็คือ คนสองคนเริ่มคุยกันน้อยลง หรือเริ่มบทสนทนาเมื่อไหร่ สุดท้ายจบลงที่อารมณ์คุกรุ่นแทบทุกครั้งไป
ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ บอ กเลยว่านี่แหละ..คือสัญญาณแรกที่โคตรน่ากลัว แล้วถ้าปล่อยให้สัญญาณนี้ผ่านไป โดยไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นเลย ผลลัพธ์ก็คงออ กมาไม่สวยเท่าไหร่
2. ฉันหรือเธอที่เปลี่ยนไป
ความรักเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ความรักลดน้อยถอยลงได้เสมอ.. สาเหตุที่คนเราแต่งงานก็เพราะความรัก และสาเหตุที่คนเราเลิกกัน หย่ากันก็เพราะความรักอีกนั่นแหละ
ไม่มีคู่รักหรือคู่แต่งงานคู่ไหนที่รักกันตลอดกาล โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ใคร ๆ ก็เปลี่ยนไปทั้งนั้น แต่แล้วยังไง..เปลี่ยนก็แค่เติม เปลี่ยนก็แค่เพิ่ม
ความรักมัน มีเวลาหมดอายุของมันเสมอ ถ้าไม่คอยหมั่นเติม หมั่นเพิ่มความรักที่มีให้กันบ่อย ๆ สุดท้ายความรักก็หมดอายุ เป็นความรักบูด ๆ ที่ไม่หวานชื่นอีกต่อไป บางคู่ก็เหลือแต่ความผูกพัน บางคู่ก็ไม่เหลืออะไรเลย..
จริง ๆ ไม่ต้องหาเหตุผลว่าใครที่เปลี่ยนไป หรือใครที่รักกันน้อยลง เพราะสาเหตุมัน มาจากคุณทั้งคู่..
เมื่อไหร่ก็ตามที่ต่างคนต่างเริ่มรู้สึกว่าความรักที่มีให้กัน มันไม่ค่อยจะเหมือนเดิม ทำไมมองหน้าอีกคนแล้วรู้สึกเฉย ๆ หรือทำอะไรก็ขัดหู ขัดตาไปหมด
หรืออะไรที่เค้าเคยทำให้แล้วรู้สึกดี ตอนนี้กลับเฉย ๆ นี่แหละสัญญาณง่าย ๆ ที่บอ กได้ว่าความรักมันเริ่มจืดลงนิด ๆ แล้ว
สิ่งที่ต้องทำก็คือจับมือแล้วหัน มาคุยกัน เรื่องแบบนี้คือเรื่องใหญ่ของการใช้ชีวิตคู่ ถ้าสีสัน มันหมดไป ปัญหาที่หลายคนกลัวก็อาจเกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นสังเกตสัญญาณที่อาจเกิดขึ้นและแก้ปัญหาให้ทันท่วงที..รู้ไว้เลยว่าไม่มีคู่ไหน ไม่มีปัญหา
3. เงิน ๆ ทอง ๆ
เรื่องเงินเรื่องใหญ่ ยิ่งเป็นเรื่องเงินในชีวิตคู่ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว
เงินคือสาเหตุอันดับสามที่ทำให้คู่แต่งงานเลิกราหย่าร้างกัน เดี๋ยวนี้ไม่มีใครอยากกัดก้อนเกลือ กินอีกต่อไปแล้ว จะคบใคร จะแต่งงานกับใคร ถ้าทำให้ชีวิตแย่ลง ก็คงไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยง
หลายคู่ตกลงเรื่องเงินกันไว้ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แต่พอเอาเข้าจริง แทบทุกคู่อาจต้องเผชิญปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทั้งนั้น แม้จะวางแผนกัน มาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่เหนือ การควบคุมของเรา
ถ้าเริ่มสังเกตได้ว่าแผนการเงินของครอบครัวเริ่มรวน อะไรที่เคยวางแผนไว้ไม่เป็นไปตามแผน อย่าเก็บไว้คนเดียวเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัว ทุกคนต้องมีส่วนรู้เห็นและปรับตัว แม้แต่ลูกก็ควรรู้ว่าสถานะการเงินของครอบครัวเปลี่ยนไป
เพราะครอบครัวก็เหมือนคนที่ลงเรือลำเดียวกัน ทุกคน มีส่วนทำให้เรือล่องออ กไปทั้งนั้น ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ทุกคนก็ควรต้องรับรู้และมีส่วนร่วมกับปัญหา
สิ่งที่ต้องทำเมื่อเจอปัญหาแบบนี้ก็คือ ต้องสู้ไปด้วย ความเป็นครอบครัวมีพลังบางอย่างที่เรานึกไม่ถึงเสมอ จับมือแล้วก้าวข้ามไปด้วยกัน เรื่องเงินเรื่องใหญ่ก็จริง..แต่พลังของครอบครัวก็ไม่ใช่เล็ก ๆ แน่นอน
4. ทัศนคติ รสนิยม
รสนิยมและทัศนคติเป็นสาเหตุของการหย่าร้างอันดับที่ 4 โดยเฉพาะรสนิยมทางเ พ ศเรียกว่าเป็นปัญหาหลักที่หลายคนนึกไม่ถึงเชียวแหละ
การแต่งงานเป็นการเอาคนจาก 2 ครอบครัวมาอยู่ด้วยกัน ขนาดพี่น้องท้องเดียวกัน บางทียังทนกันไม่ค่อยได้เลย แต่นี่ต่างคนต่างถูกเลี้ยงมาคนละแบบ โตมาคนละอย่าง ต่างกันทั้งครอบครัว การศึกษา สถานะ จะให้ทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัวได้อย่างรวดเร็วคงเป็นไปไม่ง่ายนัก
น่าจะเคยได้ยินกัน มาบ้างว่าแต่งงานกันแล้ว ต่างคนต่างก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน คู่ไหนปรับได้ ยอมรับได้ก็อยู่สบาย แต่คู่ไหนทิฐิ ไม่ยอมลงให้กัน ก็ยากที่จะลงตัวกันง่าย ๆ ยิ่งไม่ยอมกัน ยิ่งเป็นปัญหา ยิ่งทัศนคติต่างกัน คิดต่างกัน เข้าใจต่างกัน รับรู้ต่างกัน ก็ยิ่งเป็นปัญหา
จริง ๆ แล้วความต่างเป็นเรื่องจับสังเกตได้ง่ายมาก แค่ต้องยอมรับความจริงเท่านั้น บางคู่ต่างกันตั้งแต่แรก แต่ก็ยังคบกันได้ยืดยาว เพราะเค้ายอมรับในความต่าง เคารพซึ่งกันและกัน แปลว่าทัศนคติไม่ตรงกันก็จริง แต่แล้วยังไง..ไม่ตรงก็ไม่ตรง เธอบ้าง ฉันบ้าง ก็ไม่เห็นเป็นไร
ในขณะที่บางคู่..ใช้ ‘ทน’ มากกว่า ‘ยอมรับ’ เพราะคนเราทนได้ไม่นาน เมื่อความอดทนหมด ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม แต่การยอมรับคือความเข้าใจ..เข้าใจที่เค้าเป็นอย่างนั้น ยอมรับที่เค้าเป็นอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้ความอดทนใด ๆ
5. จุดมุ่งห ม ายในชีวิต
จุดมุ่งห ม ายในชีวิตดูเป็นเรื่องเชิงบวก แต่ทำไมถึงเป็นสาเหตุของการหย่าร้าง น่าจะเป็นเพราะจุดมุ่งห ม ายในชีวิตที่เปลี่ยนไปมากกว่า
คนเราพอจุดมุ่งห ม ายเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยน ส่งผลให้การกระทำก็เปลี่ยน และพอทุกอย่างเปลี่ยน ก็คงไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม แม้กระทั่งคนข้าง ๆ เองก็ตาม
จุดมุ่งห ม ายในชีวิตที่ว่านี้ก็เช่น เป้าห ม ายการทำงาน การใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งเรื่องลูก สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรสำคัญที่หลายคนก็นึกไม่ถึงเลยทีเดียว
อย่างเรื่องลูก คนหนึ่งอยากมี แต่อีกคนไม่อยาก หรือเป้าห ม ายการทำงานที่สามีอยากภรรยาเป็นแม่บ้าน แต่ภรรยาอยากทำงานนอ กบ้าน มากกว่า เรื่องแบบนี้คือจุดมุ่งห ม ายที่ต่างกันและอาจเป็นสาเหตุให้ชีวิตคู่จบลงแบบไม่สวยนักก็ได้
การหย่าร้างไม่ได้ห ม ายความว่าชีวิตคู่ล้มเหลว เพราะทุกครั้งที่ผ่านความเจ็บปวด เราจะเติบโตขึ้นเสมอ